เหตุการณ์ที่กล่าวมาทั้งหมดแสดงให้เห็นว่า ทุกคนทำเพื่อแสวงหาอำนาจและความอยู่รอด
ไม่ได้ทำเพื่อกษัตริย์ราชวงศ์ฮั่นหรือบ้านเมือง เมื่อใดมีเรื่องของการเมือง
เมื่อนั้นจึงไม่มีเรื่องของความถูกผิด ความเมตตา คุณธรรมหรือกฎเกณฑ์ใดๆ
การพยายามไม่ให้เกิดการเมืองจึงเป็นการป้องกันการแก่งแย่งแข่งขันอย่างไร้คุณธรรมและ
กฎเกณฑ์อย่างดีที่สุด
สำหรับการเมืองในระดับรัฐนั้นเลี่ยงลำบากเพราะเกิดจากกลุ่มผลประโยชน์กลุ่มใหญ่ๆ
เราพยายามควบคุมโดยใช้หลักกฎหมาย ช่วยสร้างความเป็นระเบียบเรียบร้อย
แต่การเมืองในบริษัทเป็นสิ่งที่อาจเลี่ยงได้ เพราะทุกคนในบริษัทเป็นทีมเดียวกัน
เราอาจเรียกสถานการณ์เช่นนี้ว่าการเมืองที่ดีหรือไม่มีการเมืองนั่นเอง
สามก๊ก @work อยากให้กลับมามองการเมืองในบริษัท
ถ้าจะถามทั้งฝ่ายผู้บริหาร(นายจ้าง) และคนทำงานว่าอยากให้มีการเมืองในบริษัทหรือไม่
ทุกฝ่ายคงไม่อยากให้มี เพราะการมีการเมืองในบริษัท หมายถึงการมีกลุ่มอำนาจ
กลุ่มผลประโยชน์ในบริษัท ซึ่งต่างก็ทำเพื่ออำนาจและผลประโยชน์ของตน
ไม่ได้เล็งเห็นผลประโยชน์ของบริษัทเป็นที่ตั้ง อย่างไรก็ตามก็มักมีการเมืองเกิดขึ้นแทบทุกบริษัท
จะน้อยตั้งแต่ระดับไม่รู้สึกจนกระทั่งมากถึงระดับที่ต้องระแวดระวังอยู่ตลอดเวลา
สามก๊ก @work เชื่อว่าไม่ว่าจะเป็นฝ่ายบริษัทหรือฝ่ายพนักงานคนทำงาน
ต่างก็ควรเลี่ยงการเมืองที่เป็นเรื่องของผลประโยชน์และอำนาจส่วนตัว
การเมืองมักก่อตัวขึ้นถ้ามีการแบ่งพรรคแบ่งพวก เมื่อมีพวกมีกลุ่มก็มักจะคำนึงถึงผลประโยชน์ของกลุ่ม
เพราะฉะนั้นเมื่อมีการแบ่งกลุ่มเกิดขึ้น บริษัทก็ควรจะมีนโยบายสลายกลุ่มเล็ก
กลุ่มน้อย ให้กลายเป็นกลุ่มเดียวกันหมด ภายในบริษัทเดียวกันนั้น
การทำงานกันเป็นทีมและการปลอดการเมืองเป็นเรื่องที่ต้องสร้างขึ้น
ต้องป้องกันและรักษาดูแลให้บริษัทเป็นหนึ่งเดียวอยู่เสมอ
โดยให้ทุกคนยึดมั่นถือผลประโยชน์ของส่วนรวมเป็นหลัก ถ้าหากมีผู้ใดเป็นหัวโจกให้เกิดกลุ่ม
ในที่สุดก็จะกลายเป็นการเมืองขึ้น ซึ่งนับวันก็จะทำให้บริษัทเสื่อมลง
ผู้บริหารในระดับสูงต้องเข้าใจว่าในปัจจุบันผู้สมัครงานมีมาก
บริษัทควรเลือกผู้มีคุณสมบัติที่ดี คือทำตัวเองให้ปลอดการเมืองเท่านั้นที่ที่ควรอยู่ทำงานให้บริษัท
ผู้ที่ทำให้บริษัทแตกแยกไม่ควรมีคุณสมบัติที่จะอยู่ร่วมบริษัทต่อไป
และบริษัทที่ดีก็ควรรู้จักจัดการและสร้างให้พนักงานเป็นหนึ่ง
เดียวกันด้วย
|