ซุนเขียนจึงว่าซึ่งท่านจะยกไปนั้น ขอให้จัดแจงทหารซึ่งมีสติปัญญาไว้รักษาเมือง เล่าปี่ก็เห็นชอบด้วย กวนอูจึงว่าข้าพเจ้าจะขออยู่รักษาเมืองเล่าปี่จึงตอบว่าเจ้าเป็นที่ปรึกษาของเรา ซึ่งจะอยู่รักษาเมืองนั้นไม่ได้ เตียวหุยจึงว่า ท่านจะเอากวนอูไปเป็นที่ปรึกษาแล้วข้าพเจ้าจะขออยู่รักษาเมือง เล่าปี่จึงว่าตัวเจ้ามักเสพย์สุรา แล้วตีโบยทหาร ประการหนึ่งก็เป็นคนใจร้ายมิได้ฟังผู้ใดห้ามปราม จะไว้ใจให้อยู่รักษาเมืองนั้นมิได้ เตียวหุยจึงว่า แต่วันนี้ข้าพเจ้าไม่เสพย์สุราเลย ถ้าจะทำการสิ่งใดก็จะปรึกษาหารือผู้มีสติปัญญาก่อนจึงจะทำแม้นมีผู้ใดห้ามปรามจะฟังคำ

บิต๊กจึงว่าเกรงอยู่แต่จะไม่เหมือนถ้อยคำท่าน เตียวหุยได้ยินดังนั้นก็โกรธจึงตอบว่า แต่เราตั้งใจทำการด้วยเล่าปี่มาก็หลายปีแล้ว ผู้ใดยังมิจับเท็จเราได้ แลท่านจะมาล่วงว่าเรานั้นไม่ควร เล่าปี่จึงห้ามเตียวหุยว่าอย่าโกรธบิต๊กเลยซึ่งเจ้าจะอยู่รักษามืองนั้นเราก็ยังมิไว้ใจ แต่ได้ให้สัญญาแล้วจะอยู่ก็ตามเถิด แต่เอาตันเต๋งไว้เป็นที่ปรึกษาด้วย จะได้ตักเตือนห้ามปรามอย่าให้เสพย์สุรานักราชการบ้านเมืองจึงจะได้ไม่เกิดเหตุการณ์ เตียวหุยกับตันเต๋งก็รับคำเล่าปี่ ครั้นวันดีเล่าปี่ก็ยกกองทัพจะไปตีเมืองลำหยง

ฝ่ายอ้วนสุดเจ้าเมืองลำหยง ครั้นรู้เหตุว่าเล่าปี่ให้มีหนังสือขึ้นไปขอทหารพระเจ้าเหี้ยนเต้ จะยกมาตีเมืองลำหยง อ้วนสุดก็โกรธจึงเล่าว่าเล่าปี่นั้นชาติอ้ายทอสื่อขาย บัดนี้ได้เป็นเจ้าเมืองแล้ว คิดการกำเริบจะล่วงมาตีเอาเมืองเรา เราจะนิ่งให้มันมาเหยียบถึงแดนเราใย จึงให้กิเหลงทหารเอกเป็นแม่ทัพคุมทหารสิบหมื่น ยกไปตีเมืองชีจิ๋ว

กิเหลงยกทหารมาถึงแดนเมืองอุไถ เห็นทัพเล่าปี่มา กิเหลงก็ให้ตั้งค่ายอยู่พอแลเห็นกัน ฝ่ายเล่าปี่พอเห็นกิเหลงชวนเมืองซัวตั๋งยกมา จึงคิดว่าทหารเราน้อย ให้ตั้งค่ายลงเป็นหน้ากระดาษต่อเนินเขา ตลอดลงไปแม่น้ำ กิเหลงเห็นดังนั้นจึงขึ้นมาถือง้าวหนักห้าสิบชั่ง คุมทหารออกไปถึงหน้าค่ายเล่าปี่แล้วร้องด่าเล่าปี่ว่าอ้ายชาวป่ามึงมีฝีมือสักเพียงใด จึงบังอาจยกมาทำสงครามถึงเมือง อุไถซึ่งขึ้นแก่เมืองลำหยง เล่าปี่จึงว่าอ้วนสุดเป็นขบถแข็งเมืองไว้ พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงให้ใช้กูให้ยกกองทัพมาปราบปรามอ้วนสุดให้อ่อนน้อมต่อพระเจ้าเหี้ยนเต้ แลตัวมิได้คำนับเราผู้ถือรับสั่ง แล้วซ้ำเจรจาหยาบช้า โทษตัวก็ถึงตาย

กิเหลงได้ยินดังนั้นก็โกรธ จึงขับม้ารำง้าวเข้าไปจะรบด้วยเล่าปี่ กวนอูเห็นดังนั้นจึงขับม้ารำง้าวออกรบกับกิเหลงได้สามสิบเพลงมิได้แพ้ชนะกัน กิเหลงสิ้นกำลังจึงร้องว่ากับกวนอูว่า เราจะหยุดพักเสียก่อน แล้วจะรบกันต่อไปกวนอูก็ชักม้ากลับเข้ามาหยุดพักอยู่ กิเหลงกลับเข้ามาถึงค่าย จึงให้ซุนเจ้งทหารรองออกไปรบ กวนอูเห็นก็ขับม้าออกไปแล้วร้องว่า ตัวมิได้สมควรที่จะรบกับเรา จงเร่งกลับไปบอกกิเหลงออกมารบกับเราจึงจะสมฝีมือกัน
ซุนเจ้งจึงตอบว่า ตัวบังอาจว่าหยาบช้า แต่เช่นตัวเป็นทหารนี้ยังหามีผู้ใดลือชื่อไม่ เป็นไฉนจึงยกตัวว่าจะสู้กับนายกู กวนอูได้ยินจึงขับม้าเข้ารบด้วยซุนเจ้งได้เพลงหนึ่ง กวนอูก็เอาง้าวฟันถูกซุนเจ้งตกม้าตาย เล่าปี่จึงคุมทหารเข้ารบหักเอาค่ายกิเหลงได้ กิเหลงพาทหารถอยไปตั้งอยู่ริมน้ำเมืองซัวหยิน แล้วแต่งทหารยกมาปล้นค่ายเล่าปี่เป็นหลายครั้งก็มิได้ค่าย ทหารเล่าปี่ฆ่าฟันทหาร กิเหลงล้มตายทุกครั้ง กิเหลงกับเล่าปี่ก็ตั้งรอคอยทีกันอยู่

ฝ่ายเตียวหุยซึ่งอยู่รักษาเมืองซีจิ๋ว จึงให้ตันเต๋งว่าราชการฝ่ายพลเรือน เตียวหุยนั้นว่าราชการข้างเหล่าทหาร ครั้นอยู่มาวันหนึ่งเตียวหุยแต่งโต๊ด แล้วเชิญขุนนางฝ่ายทหารพลเรือนทั้งปวงมาพร้อมกัน เตียวหุยจึงว่าเล่าปี่จะยกกองทัพไปนั้นได้กำชับเราว่าอย่าให้เสพย์สุรานัก วันนี้เราสบายใจจึงให้แต่งโต๊ะเชิญท่านทั้งปวงมากินโต๊ะ เสพย์สุราเล่นแต่วันเดียวนี้ให้สนุก สืบไปท่านทั้งปวงแลเราอย่าได้กินเลยเป็นอันขาด จะตั้งหน้าว่าราชการรักษาเมืองไว้ให้เป็นปรกติกว่าเล่าปี่จะกลับมา แล้วเตียวหุยก็รินสุราคำนับให้ขุนนางทั้งปวงกิน

แต่โจป้ามิได้รับจอกสุรา จึงว่าแก่เตียวหุยว่า ข้าพเจ้าได้สาบานต่อเทวดาว่ามิได้กินเลย เตียวหุยจึงว่าตัวเป็นทหารเหตุใดจึงว่าไม่เสพย์สุรา เราจะให้กินสักจอกหนึ่ง ถ้ามิกินเราไม่ฟัง โจป้าคิดกลัวเตียวหุยจึงคำนับรับจอกสุรามากินเข้าไป เตียวหุยเมาแล้วจึงรินสุราให้ขุนนางทั้งปวงอีก แต่โจป้านั้นว่าข้าพเจ้ากินไม่ได้ เตียวหุยจึงหัวเราะแล้วว่าเมื่อกี้นั้นตัวว่ากินไม่ได้ แล้วก็กินเข้าไปจอกหนึ่ง ครั้นให้กินอีก ว่ากินไม่ได้ ก็เห็นว่าตัวแกล้งบิดพลิ้วลวงเรา เราไม่ฟัง จะให้ตัวกินอีกจงได้ โจป้ามิได้กิน เตียวหุยโกรธจึงว่า ตัวเป็นผู้น้อยกว่าเราบังอาจขัดไม่เสพย์สุราด้วยเรานั้น ก็เห็นว่าตัวมิได้เกรงเรา แล้วก็ส่งให้คนให้คนเอาตัวโจป้าไปตีร้อยหนึ่ง